ซอสคาราเมล กับ 3 วิธีทำซอสคาราเมล ใช้ส่วนผสมน้อยใคร ๆ ก็ทำได้

ซอสคาราเมล กับวิธีทำซอสคาราเมลแบบมืออาชีพ สุดยอดท็อปปิ้งบนเครื่องดื่มที่นิยมกันอย่างมากในร้านเครื่องดื่มชาไข่มุก ร้านกาแฟ เพราะนอกจากจะนำมาทำเป็นท็อปปิ้งเครื่องดื่มได้แล้ว ก็ยังสามารถนำ ซอสคาราเมล มารังสรรค์เป็นเมนูเครื่องดื่มได้อีกหลากหลาย แถมยังช่วยยกระดับเมนูเครื่องดื่มนั้น ๆ ให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ละยังมีรสชาติที่หอม อร่อยกลมกล่อม

ซึ่งการทำซอสคาราเมลนั้นมีหลายวิธีอย่างมาก และสำหรับวันนี้ทาง bluemocha เราก็มีวิธีทำคาราเมลมาแบ่งปันเช่นกัน ซึ่งเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายมาก ๆ ไม่ต้องใช้ส่วนผสมเยอะ และยังมีต้นทุนที่ต่ำ แต่สามารถนำไปทำเป็นท็อปปิ้งเครื่องดื่ม เพิ่มกำไรให้ร้านได้มากขึ้นแน่นอน 

Advertisements
ซอสคาราเมล วิธีทำซอสคาราเมล

3 วิธีทำ ซอสคาราเมล วิธีทำซอสคาราเมลแบบมืออาชีพ

วิธีที่ 1 วิธีแบบแห้ง ทำซอสคาราเมลแบบแห้ง

วิธีนี้จะใช้ส่วนผสมแค่อย่างเดียว คือ น้ำตาลทราย และในการทำคาราเมลโดยวิธีนี้จะใช้เวลาที่สั้นกว่า และไหม้ได้เร็วกว่าวิธีอื่น ๆ พร้อมแล้วมาทำไปด้วยกันเลย

ส่วนผสม

– น้ำตาลทราย 300 กรัม

ขั้นตอนการทำ

– นำหม้อตั้งบนเตา เปิดไฟกลาง
– แล้วให้เทน้ำตาลในในหม้อ
– แล้วรอเวลาให้น้ำตาลละลาย
– เมื่อน้ำตาลเริ่มละลายแล้ว  (**ห้ามคนเด็ดขาด**)  ก็รอต่อไปจนน้ำตาลละลายจนหมด สำหรับใครที่อยากคนน้ำตาล แนะนำให้เขย่าหรือยกหม้อวนไปมาเท่านั้น
– เมื่อน้ำตาลละลายจนหมดแล้ว ให้รีบยกลงจากเตาทันที
– และสามารถที่จะนำไปใช้ตกแต่งบนเครื่องดื่มได้ทันที

** เพิ่มเติม : สำหรับซอสคาราเมลที่ได้จากวิธีนี้ อาจจะต้องรีบใช้งานหลังจากที่ได้ซอส เพราะจะทำให้ซอสคาราเมลเย็นและจับตัวได้อย่างรวดเร็ว

วิธีที่ 2 วิธีแบบเปียก ทำซอสคาราเมลแบบเปียก

วิธีนี้จะเพิ่มส่วนผสมของน้ำเปล่าเข้ามาร่วมด้วย เป็นวิธีการทำที่ง่ายมาก ๆ เหมาะสำหรับมือใหม่หัดทำ ว่าแล้วเรามาทำไปพร้อมกันเลย

ส่วนผสม

– น้ำตาลทราย 200 กรัม
– น้ำเปล่า 75 มิลลิลิตร

ขั้นตอนการทำ

– เทน้ำลงในหม้อ แล้วเทน้ำตาลลงไปผสม
– จากนั้นให้นำหม้อไปตั้งบนเตา แล้วเปิดไฟอ่อน หรือไฟกลาง
– ให้รอจนน้ำตาลเริ่มละลาย
– เมื่อน้ำตาลเริ่มละลายแล้ว ให้เขย่าหม้อวนไปมา (**ห้ามคนเด็ดขาด**) เพราะหากคนจะทำให้น้ำตาลจับตัวเป็นก้อนผลึก
– เมื่อน้ำตาลละลายจนหมด ก็ให้รอจนกว่าน้ำตาลจะเริ่มเปลี่ยนสี ซึ่งสามารถที่จะเขย่าหม้อเบา ๆ เป็นระยะ ๆ ได้ เพื่อให้น้ำตาลละลายอย่างทั่วถึง
– เมื่อน้ำตาลเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลแล้ว ให้ยกลงจากเตาได้ทันที เพราะหากปลอ่ยไว้นานจะทำให้คาราเมลไหม้ได้ 

สำหรับ 2 วิธีข้างต้นที่กล่าวมานั้นเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายมาก ๆ แถมยังไม่ต้องใช้ส่วนผสมเยอะ แต่ทั้งนี้ก็จะได้ซอสคาราเมลที่แข็งตัวไว ดังนั้นหากใครที่ทำตาม 2 วิธีดังกล่าวจะต้องรีบใช้ซอสคาราเมลทันทีหลังทำเสร็จ หรือทั้งนี้อาจจะต้องนำซอสคาราเมลใส่ภาชนะไว้ แล้วให้นำมาแช่ในน้ำร้อน วิธีนี้จะช่วยป้องกันการแข็งตัวเร็วของซอสคาราเมลได้

วิธีที่ 3 การทำซอสคาราเมล

วิธีนี้เป็นการทำซอสคาราเมลที่ใช้ส่วนผสมมากกว่า 2 วิธีข้างต้น ใช้เวลามากกว่าแต่ก็จะทำให้ได้ซอสคาราเมลที่มีรสชาติดีกว่า แถมเก็บรักษาไว้ได้นานมากถึง 3-4 สัปดาห์
(ประมาณเกือบ 1 เดือน) ว่าแล้วเรามาทำไปด้วยกันเลย

ส่วนผสม

– น้ำตาลทราย 200 กรัม
– เนยจืด 80 กรัม
– กลิ่นวนิลลา 1 ช้อนชา
– วิปปิ้งครีมเหลว  240 กรัม
– เกลือเล็กน้อย 

วิธีทำ

  • นำน้ำตาลใส่ในหม้อ แล้วนำไปตั้งเตาเปิดไฟกลาง
  • รอจนน้ำตาลละลายจนหมด สามารถที่จะเขย่าหม้อได้ 
  • แล้วให้ปรับเป็นไฟเบา และใส่เนยจืดลงไป คนให้ละลายเข้ากัน
  • จากนั้นให้ยกลงจากเตา แล้วค่อย ๆ เทวิปครีมลงไป แล้วคนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันจนเนื้อเนียน และเติมเกลือลงไป คนให้เข้ากันอีกครั้ง
  •  เสร็จแล้วให้ยกหม้อขึ้นเตาไฟอีกครั้ง แล้วคนต่อให้ได้ซอสคาราเมลที่เหนียวหนืด แล้วปิดไฟ (ความเหนียวหนืดขึ้นอยู่กับความต้องการเลยนะคะ)
  • เทใส่ในภาชนะที่เตรียมไว้ แล้วสามารถนำไปใช้ได้เลย
  • หากต้องการเก็บ พักไว้ให้เย็นก่อนแล้วค่อยนำเข้าตู้เย็น เก็บได้นาน 1 เดือน

เป็นยังไงกันบ้างกับ 3 วิธีทำซอสคาราเมล บอกเลยว่าทำได้ง่ายมาก ๆ ใครที่อยากจะประหยัดต้นทุน หรือกำลังจะเปิดร้านใหม่ สามารถทำตามกันได้ และสามารถนำไปทำเป็นเมนูอื่น ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นนมสดคาราเมล คาราเมลมัคคิอาโต้ หรือเมนูอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งนอกจากการทำซอสคาราเมลนี้ ทาง bluemocha เราก็มีการทำซอสท็อปปิ้งเครื่องดื่มอย่างซอสชาเขียว ซอสชาไทยอีกด้วย ใครที่สนใจก็ลองทำตามกันได้เลย

ซอสคาราเมล กับวิธีทำ 3 วิธี เลือกทำได้เลย

คาราเมลคืออะไร

คาราเมล ของหวานสีทองอำพันที่ทำให้เราเคลิบเคลิ้ม ไม่ได้มีดีแค่ความอร่อย แต่ยังมีเรื่องราวและวิทยาศาสตร์ซ่อนอยู่เบื้องหลัง

คาราเมลคืออะไร ทำความรู้จักกับคาราเมล คาราเมลมีกี่แบบ

คาราเมลทำมาจากอะไร

  • คาราเมล คือ “น้ำตาล” ที่ถูกนำไปให้ความร้อนจนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี กลายเป็นของเหลวสีน้ำตาลทองที่มีกลิ่นหอมและรสชาติเฉพาะตัว
  • ส่วนประกอบหลัก แค่น้ำตาล แต่ก็อาจมีน้ำ/ครีม/เนย/เกลือ เพิ่มเติม แล้วแต่สูตร

ที่มาของ “สีทอง” และ “กลิ่นหอม” ของคาราเมล

  • เกิดจากกระบวนการที่เรียกว่า “Caramelization” (คาราเมไลเซชัน) โดยเกิดจากน้ำตาลสลายตัวและเกิดปฏิกิริยาซับซ้อนเมื่อโดนความร้อนสูง
  • ทำให้เกิดสารประกอบใหม่ๆ ที่ให้ทั้ง สีน้ำตาลทอง และ กลิ่นหอมเฉพาะตัว (คล้ายกลิ่นไหม้นิดๆ หวานลึก)

ประวัติความเป็นมาของคาราเมล

  • ย้อนรอยโบราณ คาดว่าคาราเมล มีมาตั้งแต่สมัยโบราณราว คริสต์ศตวรรษที่ 9 จากการนำน้ำตาลอ้อย (Sugar Cane) มาให้ความร้อน
  • ชื่อมาจากไหน? คำว่า “Caramel” เชื่อว่ามาจากภาษาลาติน “cannamellis” ซึ่งแปลว่า “น้ำตาลอ้อย” หรืออาจมาจากภาษาอาหรับ “kura-moakhalla” ที่แปลว่า “ลูกบอลหวานๆ”
  • กว่าจะเป็นที่นิยม คาราเมลเริ่มแพร่หลายในโลกตะวันตกเมื่อมีการปลูกอ้อยอย่างจริงจัง และการทำน้ำตาลกลายเป็นเรื่องที่ทำกันอย่างแพร่หลาย

คาราเมลมีกี่แบบ อะไรบ้าง

1. คาราเมลแบบแห้ง (Dry Caramel)

  • วิธีทำ ใส่น้ำตาลลงในหม้อเปล่าๆ แล้วให้ความร้อนโดยตรง
  • จุดเด่น ทำง่ายสำหรับผู้เชี่ยวชาญ ได้รสชาติเข้มข้น ร้อนเร็ว เปลี่ยนสีเร็ว

2. คาราเมลแบบเปียก (Wet Caramel)

  • วิธีทำ ใส่น้ำตาลพร้อมกับน้ำเล็กน้อยลงในหม้อ แล้วให้ความร้อน
  • จุดเด่น ทำง่ายสำหรับมือใหม่ ควบคุมสีได้ง่ายกว่า มีโอกาสตกผลึกน้อยกว่าแบบแห้ง

คาราเมลใช้ทำอะไรได้บ้าง

  • ซอสคาราเมล เติมครีม/เนย/เกลือ (Salted Caramel) ได้รสชาติที่ซับซ้อน หอมมัน เค็มตัดหวาน
  • ลูกอม/ขนม ทำลูกอมคาราเมล, ทอฟฟี่, หรือใช้เป็นไส้ในขนมต่างๆ
  • กลิ่นแต่งรส ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่ม ไอศกรีม หรือของคาวบางเมนู

ประโยชน์ของคาราเมล

คาราเมล ของหวานสีทองอำพันที่ทำให้เราหลงรัก! แม้จะมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก แต่รู้ไหมว่าในโลกของการทำอาหาร คาราเมลมี “คุณประโยชน์” ที่ช่วยยกระดับเมนูได้มากกว่าที่หลายคนคิด

ประโยชน์ของคาราเมล

1. รสชาติซับซ้อน มีมิติ

ไม่ใช่แค่หวานอย่างเดียว คาราเมลมีรสชาติลึกซึ้ง มีกลิ่นหอมไหม้นิดๆ คล้ายถั่ว หรือรสขมปลายๆ ช่วยตัดเลี่ยน และเพิ่มมิติให้เมนูอร่อยขึ้น

Advertisements

2. เพิ่มกลิ่นหอมเย้ายวน

คาราเมลมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่โดดเด่น ช่วยเพิ่มความน่ารับประทาน และสร้างความอยากอาหารให้กับขนม เครื่องดื่ม หรือแม้แต่ของคาวบางชนิด

3. สร้างสีสันสวยงามน่ารับประทาน

สีทองอำพันอันเป็นเอกลักษณ์ของคาราเมล ช่วยให้เมนูอาหารหรือขนมดูน่าดึงดูดใจ มีความพรีเมียม และสวยงามน่ากินมากยิ่งขึ้น

4. ปรับเปลี่ยนเนื้อสัมผัสได้หลากหลาย

คาราเมลสามารถอยู่ในรูปของเหลวข้น (ซอส), นุ่มหนึบ (ทอฟฟี่), หรือแข็งกรอบ (แคนดี้/เคลือบ) ช่วยเพิ่มมิติของเนื้อสัมผัสให้เมนูหลากหลาย

5. ช่วยให้พลังงานเร่งด่วน

ในฐานะที่เป็นน้ำตาล คาราเมลให้พลังงานแก่ร่างกายอย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับเป็นตัวช่วยในช่วงที่ต้องการพลังงานเร่งด่วน (แต่ควรระมัดระวังเรื่องของจำนวนปริมาณ)

6. ยกระดับเมนูให้ “พรีเมียม”

การเติมคาราเมลลงในเมนูต่างๆ สามารถเปลี่ยนรสชาติและภาพลักษณ์ให้ดูพิเศษ มีมูลค่า และน่าสนใจยิ่งขึ้น เหมือนเมนูจากร้านอาหารชั้นนำ

7. มอบความสุขและประสบการณ์ที่ดี

การได้ลิ้มรสอาหารที่อร่อยถูกใจ ย่อมสร้างความสุข ความพึงพอใจ และเป็นส่วนหนึ่งของการมีคุณภาพชีวิตที่ดี

โทษของคาราเมล ผลเสียของคาราเมล มีอะไรบ้าง

ภายใต้ความหวานหอมและสีทองอำพันของคาราเมล มี “ผลเสีย” ที่คุณอาจคาดไม่ถึงซ่อนอยู่ หากบริโภคในปริมาณมากเกินไป! มาดูกันว่าโทษหรือผลเสียของคาราเมล มีอะไรกันบ้าง

โทษของคาราเมลมีอะไรบ้าง
  1. น้ำตาลสูงปรี๊ดดด คาราเมลคือ “น้ำตาล” ที่ถูกปรุงแต่งให้มีรสชาติและสีสัน เมื่อบริโภคมากเท่ากับร่างกายได้รับน้ำตาลในปริมาณมหาศาลอย่างรวดเร็ว
  2. อ้วนง่าย! ลงพุงหนัก แคลอรี่สูงลิบจากน้ำตาลส่วนเกิน จะถูกร่างกายเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมทันที โดยเฉพาะรอบเอว เพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วน
  3. เสี่ยง “เบาหวาน” ถามหา การได้รับน้ำตาลสูงปรี๊ดจากคาราเมลบ่อยๆ ทำให้ตับอ่อนทำงานหนักต่อเนื่อง อาจนำไปสู่ภาวะดื้ออินซูลินและโรคเบาหวานชนิดที่ 2
  4. ฟันผุตัวร้าย คาราเมลมีทั้งความหวานและความเหนียว เมื่อติดค้างที่ฟัน จะเป็นอาหารชั้นดีของแบคทีเรีย ทำให้เกิดกรดกัดกร่อนเคลือบฟัน และฟันผุได้ง่ายขึ้น
  5. ตับพัง…ไม่รู้ตัว น้ำตาล โดยเฉพาะฟรุกโตส หากมากเกินไป จะถูกตับแปรรูปเป็นไขมัน ทำให้เกิด “ภาวะไขมันพอกตับ” ที่ไม่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์
  6. พลังงานดิ่ง! อารมณ์แปรปรวน การกินน้ำตาลสูงๆ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูง แล้วก็ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า หมดแรง หิวบ่อย และอาจมีผลต่ออารมณ์
  7. สุขภาพหัวใจแย่ลง การบริโภคน้ำตาลในปริมาณมากเชื่อมโยงกับการเพิ่มขึ้นของไขมันไตรกลีเซอไรด์ และการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

ทำคาราเมลแล้วแข็ง สาเหตุเกิดจากอะไร และจะแก้ไขได้อย่างไร

การทำคาราเมลแล้วแข็งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมาก ซึ่งสาเหตุหลักๆ มักเกี่ยวข้องกับการควบคุมอุณหภูมิ และส่วนผสม เราลองไปดูกันว่า อะไรคือสาเหตุหลักที่ส่งผลให้คาราเมลแข็งตัว และวิธีแก้ไขที่สามารถนำไปปรับใช้คืออะไร

สาเหตุที่ทำให้คาราเมลแข็งพร้อมวิธีแก้

สาเหตุหลักที่ทำให้คาราเมลแข็ง

1. ความร้อนสูงเกินไป/ต้มนานเกินไป

สาเหตุ เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เมื่อน้ำตาลโดนความร้อนสูงเกินจุดที่ควรจะเป็น (ปกติอยู่ที่ประมาณ 170-180 องศาเซลเซียส หรือ 340-350 องศาฟาเรนไฮต์) น้ำตาลจะไหม้และตกผลึกจนแข็งตัวเหมือนลูกอม หรืออาจจะกลายเป็นน้ำตาลไหม้ที่ขมจัด

ทำไมถึงแข็ง โครงสร้างโมเลกุลของน้ำตาลเมื่อได้รับความร้อนสูงและนานเกินไปจะจับตัวกันแน่นจนตกผลึกเป็นของแข็ง

2. น้ำตาลตกผลึก (Crystallization)

สาเหตุ เกิดจากเกล็ดน้ำตาลเล็กๆ ที่อยู่ตามขอบหม้อหรือเกล็ดน้ำตาลที่ยังไม่ละลายดี ไปกระตุ้นให้น้ำตาลที่กำลังร้อนจัดจับตัวกันเป็นผลึก นี่คือสาเหตุที่คาราเมลแข็งเป็นก้อนๆ ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน

ทำไมถึงแข็ง เมื่อมีผลึกน้ำตาลเล็กๆ เป็นตัวนำ จะทำให้น้ำตาลส่วนที่เหลือตกผลึกตามไปด้วยอย่างรวดเร็ว

3. ใส่น้ำน้อยเกินไป

สาเหตุ การทำคาราเมลแบบที่ใส่น้ำ (Wet Caramel) น้ำจะช่วยให้น้ำตาลละลายและกระจายความร้อนได้สม่ำเสมอ หากใส่น้ำน้อยเกินไป น้ำจะระเหยเร็วเกินไป ทำให้น้ำตาลบางส่วนร้อนจัดเกินไปและไหม้/แข็งตัว ก่อนที่น้ำตาลส่วนที่เหลือจะละลายทั่วถึง

วิธีแก้ไขและป้องกันคาราเมลแข็ง

1. การควบคุมอุณหภูมิและเวลา (หัวใจสำคัญ)

  • ใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิ: นี่คือเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการทำคาราเมล เพราะการดูด้วยตาอาจทำให้กะผิดได้ คาราเมลจะแข็งเมื่ออุณหภูมิสูงเกินไป ควบคุมให้อยู่ในช่วง 170-175 องศาเซลเซียส (340-347 องศาฟาเรนไฮต์) สำหรับคาราเมลสีทองสวย
  • อย่าต้มจนเข้มเกินไป ทันทีที่คาราเมลได้สีทองอำพันตามต้องการ ให้ยกออกจากเตา ทันที! ความร้อนระอุที่เหลืออยู่จะยังทำให้คาราเมลสีเข้มขึ้นอีกนิดนึง (Carry-over Cooking) หากทิ้งไว้นานบนเตาจะเข้มเกินและแข็งได้

2. ป้องกันน้ำตาลตกผลึก

  • ละลายน้ำตาลให้หมดจด ก่อนที่น้ำจะเริ่มเดือดและระเหย ให้คนน้ำตาลกับน้ำให้ละลายเข้ากันดีก่อน (ใช้ไฟอ่อนๆ ตอนแรก) พอละลายหมดแล้ว ห้ามคนอีกเด็ดขาด
  • เช็ดขอบหม้อ ใช้แปรงทำอาหารจุ่มน้ำสะอาด (หรือน้ำมะนาว) เช็ดเกล็ดน้ำตาลที่เกาะอยู่ตามขอบหม้อลงไปให้หมดจด ระหว่างที่น้ำตาลกำลังละลาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกล็ดเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นการตกผลึก
  • ไม่เขย่าหม้อบ่อย หากทำคาราเมลแบบแห้ง (Dry Caramel) หรือแบบใส่น้ำแล้วน้ำตาลละลายหมดแล้ว หลีกเลี่ยงการเขย่าหรือคนบ่อยๆ เพราะอาจไปกระตุ้นการตกผลึกได้

3. ปรับสัดส่วนน้ำ (สำหรับ Wet Caramel)

ใส่น้ำให้พอดี สัดส่วนที่แนะนำคือ น้ำตาล 2 ส่วน ต่อน้ำ 1 ส่วน หรือน้ำตาล 1 ส่วน ต่อน้ำ 1 ส่วน เพื่อให้น้ำตาลละลายได้ดีและระบายความร้อนได้สม่ำเสมอ

4. กรณีคาราเมลแข็งไปแล้ว (เล็กน้อย)

เติมน้ำร้อน: หากคาราเมลที่ทำเสร็จแล้วแข็งไปเล็กน้อยหรือจับตัวเป็นก้อน ลองเติมน้ำร้อนจัดลงไปทีละน้อย (ระวังไอน้ำร้อนจัด) แล้วนำกลับไปตั้งไฟอ่อนๆ คนเบาๆ ให้น้ำตาลละลายอีกครั้ง วิธีนี้ใช้ได้เฉพาะกับคาราเมลที่ยังไม่ไหม้หรือแข็งมากจนเป็นก้อนแข็งเหมือนหิน หากไหม้แล้ว แนะนำให้ทำใหม่ดีกว่าครับ เพราะจะขมมาก

สรุปเคล็ดลับเด็ด

หัวใจสำคัญคือ การควบคุมอุณหภูมิ และ การป้องกันการตกผลึก การใช้เทอร์โมมิเตอร์ และการทำความสะอาดขอบหม้อคือสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ถ้าเข้าใจหลักการนี้ การทำคาราเมลก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายและได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ

สำหรับใครที่อยากจะได้เทคนิคอื่น ๆ เกี่ยวกับร้านชานมไข่มุก ร้านกาแฟ ก็สามารถศึกษา หรือดูได้ที่หน้าบทความของ bluemocha ได้เลย ไม่วาจะเป็นเทคนิคการชงชา 4 ลิตร ทคนิคการพักชา 20 วิสำหรับการกดน้ำชาจากเครื่องชงกาแฟ เทคนิคการทำหัวเชื้อชาหรือเบสชา หรือแม้แต่เทคนิคการต้มไข่มุกให้นุ่มหนึบ เชื่อว่าหลาย ๆ บทความของเราจะช่วยให้คุณได้เทคนิคดี ๆ มากขึ้นและนำไปปรับใช้กับร้านได้ดี

แต่ทั้งนี้สำหรับใครที่จะเปิดร้านเครื่องดื่ม ร้านชานมไข่มุก ร้านกาแฟ ร้านน้ำปั่น หรือแม้แต่การทำชาขวดขาย ต้องไม่ลืมว่ารสชาติของเครื่องดื่มควรที่จะอร่อย และโดดเด่น ซึ่งการชูเครื่องดื่มให้อร่อยนั้นก็ถือเป็นจุดขายที่ดีและจะช่วยดึงดูดลูกค้าเข้าร้านได้มากอย่างต่อเนื่อง ช่วยในการเพิ่มยอดขายให้กับร้านได้ในระยะยาวได้มากกว่าจุดขายอื่น ๆ แถมลูกค้าไม่เบื่อ และยังมีฐานลูกค้าคนใหม่ ๆ เข้ามาแน่นอน  ซึ่งสามารถที่จะเพิ่มจุดขายอื่น ๆ เข้ามาร่วมด้วย เช่น การทำโปรโมชั่น การทำเป็นร้านชาไข่มุกบุฟเฟ่ต์ เป็นต้น

สำหรับการชูรสชาติของเครื่องดื่มให้อร่อยนั้น ก็ทำได้ง่ายมาก ๆ ควรต้องใช้ส่วนผสมหลักอย่างใบชา ด้วยใบชาที่ดีมีคุณภาพ มีกลิ่นหอม ให้รสชาติเข้มข้น อย่างใบชาของโรงคั่วชา bluemocha ที่คัดสรรใบชาอย่างดี และนำมาผ่านกระบวนการผลิตแบบพิเศษ จนได้ใบชาที่เหมาะสำหรับชงเครื่องดื่ม ที่สำคัญคือมีใบชาให้เลือกใช้มากกว่า 30 รายการ ไม่ว่าจะเป็น
ใบชาเขียวพรีเมียม ใบชาไต้หวัน ชาพีช ผงโกโก้ ผงมัทฉะ และใบชาอื่น ๆ เหมาะที่จะนำไปรังสรรค์ทำเป็นเมนูเครื่องดื่มได้อย่างหลากหลาย หรือใครที่ต้องการสูตรชง ก็สามารถดูสูตรชงเครื่องดื่มของเราได้เลย แต่แนะนำว่าควรเลือกใช้ใบชาของเราเพระาจะทำให้ได้เครื่องดื่มที่อร่อย เข้มข้น จนได้ลูกค้าประจำของร้านแน่นอน

สินค้าอื่น ๆ

ดูเพิ่มเติม <<

Similar Posts