ภาษีป้าย คืออะไร? รู้ครบจบทุกเรื่อง จ่ายอย่างไร ไม่ให้โดนปรับ!
เจ้าของร้านกาแฟทุกคน! เคยสงสัยกันไหมคะว่า “ภาษีป้าย” ที่เขาพูด ๆ กันเนี่ย มันคืออะไรกันนะ? แล้วทำไมเราเปิดร้านกาแฟสวยๆ เก๋ๆ แล้วต้องมาปวดหัวกับเรื่องภาษีด้วยล่ะ? ภาษีป้าย ถ้าจะให้อธิบายแบบง่ายที่สุด เหมือนเราคุยกับเพื่อนสาว ก็คือ “ค่าเช่าพื้นที่โฆษณา” ให้กับรัฐนั่นเองค่ะ ลองนึกภาพตามนะคะ ป้ายชื่อร้าน ป้ายเมนู ป้ายโปรโมชั่นที่เราติดๆ กันเนี่ย ก็เหมือนเรากำลังโฆษณาร้านของเราให้คนรู้จักใช่ไหมคะ? ทีนี้ ทางรัฐ (ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานเขต เทศบาล หรือ อบต.) เขาก็จะมาเก็บ “ค่าเช่า” พื้นที่ตรงนี้จากเรา เป็นรายปี
แล้วทำไมเราต้องใส่ใจ? ทำไมต้องรู้เรื่องนี้ด้วย? ก็เพราะว่า…
- มันเป็นกฎหมาย : ใช่แล้วค่ะ! มันเป็นกฎหมายที่เราต้องทำตาม ถ้าเราไม่จ่ายภาษีป้ายให้ถูกต้อง เราก็อาจจะโดนปรับ โดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ซึ่งบอกเลยว่าไม่คุ้มกันเลยค่ะ เสียเงิน เสียเวลา เสียอารมณ์อีกต่างหาก
- วางแผนการเงินได้ : การรู้เรื่องภาษีป้าย จะช่วยให้เราวางแผนค่าใช้จ่ายของร้านได้ถูกต้องค่ะ เราจะได้รู้ว่าในแต่ละปี เราต้องเตรียมเงินไว้สำหรับจ่ายภาษีส่วนนี้เท่าไหร่ จะได้ไม่ช็อตตอนสิ้นเดือน!
- ออกแบบป้ายได้คุ้มค่า : ถ้าเรารู้ว่าป้ายแบบไหนต้องเสียภาษีเท่าไหร่ เราก็สามารถออกแบบป้ายให้สวย เก๋ และประหยัดภาษีได้ด้วยค่ะ ไม่ใช่ว่าทำป้ายใหญ่โตอลังการ แต่สุดท้ายต้องมาจ่ายภาษีแพงหูฉี่
เห็นไหมคะว่า ภาษีป้าย ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คิด แค่เราทำความเข้าใจกับมันสักหน่อย ก็จะช่วยให้การทำร้านกาแฟของเรา ราบรื่น และสบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ! ในหัวข้อถัดไป เราจะมาดูกันว่าป้ายแบบไหนบ้างนะ ที่ร้านกาแฟของเราจะต้องเสียภาษี แล้วต้องคำนวณยังไง หลังจากที่เราเข้าใจแล้วว่าภาษีป้ายคืออะไร ทีนี้เรามาเจาะลึกกันดีกว่าว่า ป้ายแบบไหนในร้านกาแฟของเราบ้างนะ ที่จะต้องเสียภาษี ไม่ใช่ว่าป้ายทุกอันจะต้องเสียไปหมดนะคะ มาดูกันเลย!
ป้ายแบบไหนบ้างนะ ที่ร้านกาแฟต้องเสีย “ภาษีป้าย” ?
อย่างที่บอกไปตอนต้นค่ะว่า ไม่ใช่ป้ายทุกป้ายจะต้องเสียภาษี แต่ส่วนใหญ่แล้วป้ายที่เราใช้ในร้านกาแฟ มักจะเข้าข่ายต้องเสียภาษีนะคะ มาดูกันทีละประเภทเลย
- ป้ายชื่อร้าน ถือเป็นหน้าเป็นตาของร้านเราเลยใช่ไหมคะ? แต่ป้ายนี้แหละค่ะ ที่ส่วนใหญ่จะต้องเสียภาษี เพราะถือเป็นการโฆษณาชื่อร้านของเราให้คนรู้จัก ป้ายแบบไหนบ้างที่ต้องเสีย?
- ขนาด : ถ้าป้ายมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ส่วนใหญ่จะต้องเสียค่ะ (เดี๋ยวเราจะไปดูรายละเอียดเรื่องขนาดกันในหัวข้อการคำนวณนะคะ)
- วัสดุ : ถ้าทำจากวัสดุที่คงทนถาวร เช่น ไม้, เหล็ก, อะคริลิก, ไวนิล (ป้ายที่พิมพ์ลายสวยๆ) พวกนี้ส่วนใหญ่จะต้องเสียภาษีค่ะ
- ภาษา : อันนี้สำคัญเลยค่ะ! ถ้าป้ายชื่อร้านของเรามีภาษาต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ, เกาหลี, ญี่ปุ่น หรือภาษาอะไรก็ตาม (แม้แต่คำว่า “Coffee”) จะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่าป้ายภาษาไทยล้วน
- แล้วป้ายแบบไหนที่ไม่ต้องเสีย?
- ป้ายชื่อร้านเล็ก ๆ ที่ทำจากวัสดุไม่ถาวร เช่น กระดาษแข็ง, โฟมบอร์ด, ผ้า (ที่ใช้ชั่วคราว)
- ป้ายชื่อร้านที่ติดอยู่ภายในร้าน และไม่ได้หันหน้าออกไปโฆษณาให้คนภายนอกเห็น
ป้ายโฆษณาเมนู/โปรโมชั่น
- ป้ายที่โชว์เมนูเครื่องดื่ม อาหาร หรือโปรโมชั่นต่างๆ ของร้าน ก็เป็นอีกประเภทที่ต้องเสียภาษีค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง :
- ป้ายไฟ : ป้ายที่มีไฟส่องสว่างด้านใน หรือป้ายไฟวิ่ง อันนี้เสียภาษีแน่นอนค่ะ
- ป้ายไวนิล : ป้ายที่พิมพ์ลงบนวัสดุไวนิล (ที่เราเห็นกันบ่อยๆ)
- ป้ายตั้งหน้าร้าน : ป้ายที่วางบนขาตั้ง หรือป้าย A-Board
- ป้ายอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง :
- ป้ายบอกทาง : ถ้าเรามีป้ายเล็ก ๆ ชี้ทางไปร้าน (เช่น “ร้านกาแฟอยู่ทางนี้”) ถ้าป้ายมีขนาดใหญ่ หรือทำจากวัสดุถาวร ก็อาจจะต้องเสียภาษีนะคะ
- ป้ายโลโก้ : ถ้าเรามีป้ายโลโก้ร้านแยกต่างหาก (ไม่ได้อยู่รวมกับป้ายชื่อ) ก็อาจจะต้องเสียภาษี
เป็นยังไงกันบ้าง พอจะเห็นภาพชัดขึ้นไหมว่าป้ายแบบไหนบ้างที่ต้องเสียภาษี หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ เจ้าของร้านกาแฟทุกคนนะคะ ในหัวข้อถัดไป เราจะมาดูวิธีการคำนวณภาษีป้ายกัน จะได้รู้ว่าเราต้องเสียภาษีเท่าไหร่ จะได้เตรียมเงินไว้ได้ถูกต้อง!
วิธีคำนวณ “ภาษีป้าย”
ก่อนอื่น เรามาดูสูตรคำนวณภาษีป้ายกันก่อนนะคะ สูตรนี้ง่ายมากๆ จำง่าย ใช้ได้ตลอดเลย
สูตรคำนวณ : ภาษีป้าย = (พื้นที่ป้าย (ตร.ซม.) / 500) x อัตราภาษี
เห็นไหมคะว่าสูตรไม่ซับซ้อนเลย ทีนี้เรามาดูส่วนประกอบของสูตรกันทีละส่วนนะคะ
- พื้นที่ป้าย (ตร.ซม.) :
- ป้ายสี่เหลี่ยม : ง่ายมาก แค่เอา ความกว้าง (ซม.) x ความยาว (ซม.) ก็จะได้พื้นที่ป้ายเป็นตารางเซนติเมตรแล้วค่ะ
- ป้ายวงกลม : ใช้สูตร πr² (พาย x รัศมี x รัศมี) ค่ะ โดยค่า π (พาย) ก็คือประมาณ 3.14 หรือ 22/7 ค่ะ
- ป้ายรูปทรงอื่นๆ : ถ้าเป็นรูปทรงแปลกๆ อาจจะต้องแบ่งเป็นรูปทรงเรขาคณิตย่อยๆ แล้วค่อยคำนวณพื้นที่แต่ละส่วน แล้วนำมารวมกันค่ะ
- ป้ายตัวอักษร : อันนี้อาจจะยุ่งยากหน่อยนะคะ อาจจะต้องวัดขนาดพื้นที่โดยรวมทั้งหมด หรือถ้ามีตัวอักษรหลายตัว ก็อาจจะต้องวัดพื้นที่แต่ละตัวแล้วนำมารวมกันค่ะ
- อัตราภาษี :
อัตราภาษีป้าย จะขึ้นอยู่กับประเภทของป้าย และภาษาที่ใช้ค่ะ เราได้ดูตารางอัตราภาษีกันไปแล้วในหัวข้อก่อนหน้านี้ (ถ้าใครยังไม่ได้ดู ย้อนกลับไปดูได้เลย)- สำคัญ! อัตราภาษีอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้นะคะ แนะนำให้ตรวจสอบกับสำนักงานเขต/เทศบาล/อบต. ในพื้นที่ของร้านเราอีกครั้ง เพื่อความชัวร์ค่ะ
- หารด้วย 500 :
ตรงนี้หลายคนอาจจะงงว่าทำไมต้องหารด้วย 500? คืออย่างนี้ค่ะ อัตราภาษีป้ายที่เขาประกาศเนี่ย เป็นอัตราต่อพื้นที่ 500 ตารางเซนติเมตรค่ะ เพราะฉะนั้นเราต้องเอาพื้นที่ป้ายทั้งหมดมาหารด้วย 500 ก่อน แล้วค่อยคูณด้วยอัตราภาษี
หลังจากที่เรารู้ส่วนประกอบของสูตรกันแล้ว ทีนี้เรามาดูตัวอย่างการคำนวณจริงๆ กันเลยดีกว่า
ตัวอย่างการคำนวณ :
- ป้ายชื่อร้าน (ภาษาไทยล้วน)
- สมมติว่าป้ายชื่อร้านของเราเป็นป้ายสี่เหลี่ยม กว้าง 100 ซม. ยาว 200 ซม.
- พื้นที่ป้าย 100 x 200 = 20,000 ตร.ซม.
- อัตราภาษี (ป้ายภาษาไทยล้วน): 5 บาท/500 ตร.ซม. (สมมติตามตารางที่เราดูไปก่อนหน้านี้)
- ภาษีป้าย (20,000 / 500) x 5 = 200 บาท
ดังนั้น ป้ายชื่อร้านนี้จะต้องเสียภาษี 200 บาท
พอจะเข้าใจวิธีการคำนวณภาษีป้ายกันแล้วใช่ไหมคะ? ไม่ยากเลยใช่ไหมล่าาา ถ้าใครมีคำถาม หรือยังไม่เข้าใจตรงไหน ถามมาได้เลยนะคะ เดี๋ยวเราจะไปต่อกันที่ขั้นตอนการยื่นและจ่ายภาษีป้ายกันค่ะ!
โอเคค่ะสาว ๆ หลังจากที่เราคำนวณภาษีป้ายกันเป็นแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนสำคัญอีกขั้นตอนหนึ่ง นั่นก็คือ การยื่นและชำระภาษีป้ายนั่นเองค่ะ! หลายคนอาจจะคิดว่าขั้นตอนนี้ต้องยุ่งยาก วุ่นวาย ต้องไปติดต่อราชการอะไรให้เสียเวลา แต่จริงๆ แล้วไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะคะ เรามาดูกันทีละขั้นตอนแบบง่ายๆ สบายๆ สไตล์สาวๆ กันเลยค่ะ
“ภาษีป้าย” เตรียมเอกสารอะไรบ้าง ?
ก่อนที่เราจะไปยื่นภาษี เราต้องเตรียมเอกสารให้พร้อมก่อนนะคะ จะได้ไม่เสียเวลาไป-กลับ หลายรอบ เอกสารที่ต้องใช้หลักๆ ก็จะมี :
- สำเนาบัตรประชาชน : อันนี้ขาดไม่ได้เลยค่ะ ใช้ยืนยันตัวตนของเรา
- สำเนาทะเบียนบ้าน : ใช้ยืนยันที่อยู่ของเรา
- สำเนาใบอนุญาตประกอบกิจการ : ถ้าเรามีใบอนุญาตเปิดร้านกาแฟ ก็ใช้สำเนาใบนี้ด้วยค่ะ (ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร)
- รูปถ่ายป้าย : อันนี้สำคัญมาก! เราต้องถ่ายรูปป้ายที่เราจะเสียภาษี ให้เห็นชัดเจนทั้งขนาด ข้อความ และลักษณะของป้าย (แนะนำให้ถ่ายหลาย ๆ มุม)
- เอกสารอื่น ๆ (ถ้ามี) : บางที่อาจจะขอเอกสารเพิ่มเติม เช่น หนังสือมอบอำนาจ (กรณีที่เราไม่ได้ไปยื่นเอง), แผนที่ร้าน, หรือเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
เคล็ดลับ : เตรียมเอกสารไปเผื่อเหลือเผื่อขาด ดีกว่าไปถึงแล้วเอกสารไม่ครบ ต้องเสียเวลากลับมาอีกรอบ!
ยื่นภาษีป้ายที่ไหน? เราจะต้องไปยื่นภาษีป้ายที่ สำนักงานเขต, เทศบาล, หรือ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่ร้านกาแฟของเราตั้งอยู่ ไม่ใช่ไปที่กรมสรรพากร!
กำหนดเวลายื่นและชำระ
- ยื่นแบบ (ภ.ป.1) : โดยปกติแล้ว เราจะต้องไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย (หรือที่เรียกว่า ภ.ป.1) ภายในเดือน มกราคม – มีนาคม ของทุกปีค่ะ
- ชำระภาษี : หลังจากที่เรายื่นแบบ ภ.ป.1 แล้ว เจ้าหน้าที่จะออกใบแจ้งประเมินภาษีให้เรา เราจะต้องชำระภาษี ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งประเมินค่ะ
ขั้นตอนการยื่น “ภาษีป้าย”
มาถึงขั้นตอนการยื่นจริงๆ แล้วนะคะ ทำตามนี้ได้เลย ไม่ยาก :
- ขอรับแบบ ภ.ป.1 : ไปที่สำนักงานเขต/เทศบาล/อบต. ที่ร้านเราตั้งอยู่ แล้วแจ้งเจ้าหน้าที่ว่ามาขอแบบ ภ.ป.1 เพื่อยื่นภาษีป้าย
- กรอกรายละเอียดในแบบฟอร์ม : กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ถูกต้อง ชัดเจนนะคะ ในแบบฟอร์มก็จะมีให้กรอกข้อมูลเกี่ยวกับตัวเรา, ข้อมูลร้าน, ข้อมูลป้าย (ขนาด, ข้อความ, วัสดุ, ฯลฯ)
- ยื่นแบบฟอร์มพร้อมเอกสารประกอบ : ยื่นแบบ ภ.ป.1 ที่กรอกเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับเอกสารที่เราเตรียมมา ให้เจ้าหน้าที่
- รอรับใบแจ้งประเมินภาษี : เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเอกสาร และคำนวณภาษีป้ายให้เรา แล้วจะออกใบแจ้งประเมินภาษีให้ค่ะ ในใบแจ้งประเมินก็จะบอกว่าเราต้องเสียภาษีเท่าไหร่
- ชำระภาษี : เราสามารถชำระภาษีได้หลายช่องทางเลยค่ะ เช่น จ่ายเป็นเงินสด, โอนเงินผ่านธนาคาร, หรือจ่ายผ่านช่องทางอื่นๆ ที่เจ้าหน้าที่กำหนด (แต่ละที่อาจจะไม่เหมือนกัน)
- เก็บใบเสร็จรับเงิน : หลังจากชำระภาษีแล้ว อย่าลืมเก็บใบเสร็จรับเงินไว้เป็นหลักฐานนะคะ เผื่อมีปัญหาอะไรในภายหลัง
ขั้นตอนการยื่นและชำระภาษีป้าย ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิดเลยใช่ไหมคะ? แค่เตรียมเอกสารให้พร้อม กรอกแบบฟอร์มให้ถูกต้อง แล้วก็ไปยื่นตามขั้นตอน แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วค่ะ! มาถึงหัวข้อที่อาจจะฟังดูน่ากลัวสักหน่อยนะ แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องรู้ไว้ จะได้ไม่เผลอทำผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว นั่นก็คือ… บทลงโทษของการไม่ชำระภาษีป้าย!
ข้อควรระวัง! บทลงโทษหากไม่ชำระ “ภาษีป้าย”
ถึงแม้ว่าภาษีป้ายอาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าเราไม่ใส่ใจ ไม่ชำระภาษีให้ถูกต้อง ก็อาจจะเจอบทลงโทษที่ไม่น้อยเลยนะคะ มาดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง
- ค่าปรับ : อันนี้เป็นบทลงโทษขั้นพื้นฐานเลยค่ะ ถ้าเรา…
- ไม่ยื่นแบบ ภ.ป.1 : คือไม่ไปแจ้งว่าเรามีป้ายเลย อาจจะโดนปรับไม่เกิน 5,000 บาทค่ะ
- ยื่นแบบ ภ.ป.1 ไม่ถูกต้อง/ไม่ครบถ้วน : เช่น กรอกข้อมูลผิด, แนบเอกสารไม่ครบ ก็อาจจะโดนปรับไม่เกิน 5,000 บาทเหมือนกัน
- ไม่ชำระภาษีภายในกำหนด : คือได้รับใบแจ้งประเมินแล้ว แต่ไม่ยอมไปจ่ายภายใน 15 วัน อันนี้จะโดน “เงินเพิ่ม” ค่ะ คิดเป็นร้อยละ 2 ต่อเดือนของจำนวนภาษีที่เราต้องจ่าย (คิดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งปล่อยไว้นาน ก็ยิ่งต้องจ่ายแพงขึ้น)
- เบี้ยปรับ : อันนี้จะหนักกว่าค่าปรับ เพราะจะโดนก็ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่เขาตรวจสอบแล้วพบว่า เรามีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงภาษีป้าย เช่น จงใจไม่ยื่นแบบ, แจ้งข้อมูลเท็จ เบี้ยปรับนี่อาจจะสูงถึง 1-2 เท่าของจำนวนภาษีที่เราต้องจ่ายเลย!
- โทษทางอาญา : ในกรณีที่ร้ายแรงมากๆ เช่น มีการปลอมแปลงเอกสาร, หลีกเลี่ยงภาษีเป็นจำนวนมาก อาจจะมีโทษถึงขั้นจำคุกได้เลยนะคะ! (อันนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ยาก แต่ก็ต้องระวังไว้)
เห็นไหมว่าบทลงโทษของการไม่ชำระภาษีป้าย ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลย เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดก็คือ ทำทุกอย่างให้ถูกต้องตั้งแต่แรก เตรียมเอกสารให้พร้อม ยื่นแบบให้ตรงเวลา ชำระภาษีให้ครบถ้วน จะได้ไม่ต้องมาปวดหัวกับค่าปรับ หรือบทลงโทษอื่นๆ ในภายหลัง
เคล็ดลับ : ถ้าเราไม่แน่ใจ หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับภาษีป้าย แนะนำให้ปรึกษาเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานเขต/เทศบาล/อบต. โดยตรงเลย เขาจะให้คำแนะนำเราได้ดีที่สุด
มาถึงช่วง FAQ หรือ คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับภาษีป้ายกันแล้วนะคะ! เชื่อว่าหลายคนคงมีคำถามคาใจ หรือข้อสงสัยต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย วันนี้เรารวบรวมคำถามยอดฮิต พร้อมคำตอบแบบเคลียร์ ๆ มาให้แล้ว!
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ “ภาษีป้าย” (FAQ)
- Q : ป้ายเล็กๆ ที่ติดอยู่ภายในร้าน หรือป้ายที่ไม่ได้หันหน้าออกไปโฆษณาให้คนภายนอกเห็น ต้องเสียภาษีไหม?
A : โดยทั่วไปแล้ว ป้ายขนาดเล็กที่ติดอยู่ภายในร้าน และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อโฆษณาให้คนภายนอกเห็น มักจะไม่ต้องเสียภาษี เช่น ป้ายชื่อพนักงาน, ป้ายบอกทางไปห้องน้ำ, ป้ายตกแต่งร้านเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าไม่แน่ใจ แนะนำให้สอบถามเจ้าหน้าที่เขต/เทศบาล/อบต. อีกครั้งเพื่อความชัวร์ - Q : ถ้าเราเปลี่ยนป้ายใหม่ เช่น เปลี่ยนชื่อร้าน, เปลี่ยนโลโก้, หรือเปลี่ยนข้อความบนป้าย จะต้องทำยังไง?
A : ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงป้าย เราจะต้องแจ้งยกเลิกป้ายเก่า และยื่นขออนุญาตติดตั้งป้ายใหม่ พร้อมเสียภาษีสำหรับป้ายใหม่ ขั้นตอนก็เหมือนกับการยื่นภาษีป้ายครั้งแรกเลย เตรียมเอกสาร, กรอกแบบฟอร์ม, แล้วก็ไปยื่นที่สำนักงานเขต/เทศบาล/อบต. - Q : ถ้าเราไม่ได้เปิดร้านกาแฟตลอดทั้งปี เช่น เปิดแค่ช่วงเทศกาล หรือเปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ จะต้องเสียภาษีป้ายเต็มปีไหม?
A : โดยปกติแล้ว ภาษีป้ายจะคิดเป็นรายปี ไม่ว่าจะเปิดร้านกี่วัน ก็ต้องเสียเต็มปี แต่! บางท้องที่อาจจะมีข้อยกเว้น หรือมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ลองสอบถามเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ดู - Q : ถ้าป้ายชื่อร้านมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่ภาษาอังกฤษตัวเล็กมากๆ จะต้องเสียภาษีในอัตราป้ายภาษาไทยปนภาษาต่างประเทศไหม?
A : ตามกฎหมายแล้ว ถ้ามีภาษาต่างประเทศปรากฏอยู่บนป้าย ไม่ว่าจะเล็กแค่ไหน ก็จะต้องเสียภาษีในอัตราป้ายภาษาไทยปนภาษาต่างประเทศ แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ด้วย บางทีเจ้าหน้าที่อาจจะอนุโลมให้ได้ ลองคุยกับเจ้าหน้าที่ดู - Q : ถ้าเราทำป้ายเอง ไม่ได้จ้างร้านทำป้าย จะต้องเสียภาษีไหม?
A : เสีย! ไม่ว่าเราจะทำป้ายเอง หรือจ้างร้านทำป้าย ถ้าป้ายนั้นเข้าข่ายต้องเสียภาษี (ตามที่เราคุยกันไปในหัวข้อก่อนๆ) ก็ต้องเสียภาษี - Q : เราสามารถผ่อนชำระภาษีป้ายได้ไหม?
A: โดยปกติแล้ว จะต้องชำระภาษีป้ายเต็มจำนวนภายในครั้งเดียว แต่บางท้องที่อาจจะมีมาตรการผ่อนผันให้ผ่อนชำระได้ ลองสอบถามเจ้าหน้าที่ดู - Q : ถ้าเราย้ายร้านกาแฟไปที่อื่น จะต้องทำยังไงกับภาษีป้าย?
A : เราจะต้องแจ้งยกเลิกป้ายที่ร้านเดิม และถ้าเราติดตั้งป้ายใหม่ที่ร้านใหม่ ก็ต้องยื่นขออนุญาตติดตั้งป้ายใหม่ และเสียภาษีป้ายสำหรับป้ายใหม่ที่ร้านใหม่
หวังว่า FAQ นี้จะช่วยตอบคำถามคาใจของสาวๆ เจ้าของร้านกาแฟได้นะคะ ถ้ายังมีคำถามอื่น ๆ อีก ถามมาได้เลย! หลังจากที่เราได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับภาษีป้ายกันมาอย่างละเอียด ตั้งแต่ว่ามันคืออะไร, ป้ายแบบไหนต้องเสีย, คำนวณยังไง, ยื่นจ่ายยังไง, ไปจนถึงบทลงโทษถ้าไม่จ่าย และตอบคำถามคาใจต่าง ๆ กันไปแล้ว จะเห็นได้ว่าภาษีป้าย อาจจะดูเป็นเรื่องจุกจิกกวนใจสำหรับเจ้าของร้านกาแฟหลาย ๆ คน แต่เชื่อเถอะค่ะว่า การที่เรามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ จะช่วยให้เราทำธุรกิจได้อย่างราบรื่น และสบายใจขึ้นเยอะเลย
บทความที่น่าสนใจ
- อยากเริ่มต้นธุรกิจ ? เปิดลิสต์ 9 สินค้า OEM น่าลงทุน ปี 2568
- ตราฮาลาล คืออะไร ? ทำไมถึงสำคัญ ? โรงงานผลิตชาเชียงใหม่
- รับผลิตชาไทยพรีเมียม ต้นทุนต่ำ ราคาโรงงาน ส่งทั่วไทย !
และสำหรับเจ้าของร้านกาแฟที่กำลังมองหาตัวช่วยในการสร้างแบรนด์ชาของตัวเอง หรืออยากจะเพิ่มเมนูชาพิเศษ ๆ ให้กับร้าน เพื่อดึงดูดลูกค้าให้มากขึ้น ขอแนะนำ Bluemocha เลย! Bluemocha ไม่ได้เป็นแค่โรงงานผลิตชาธรรมดา ๆ แต่เราเป็น เพื่อนคู่คิด ที่จะช่วยคุณสร้างสรรค์แบรนด์ชาในฝัน ตั้งแต่เริ่มต้นจนประสบความสำเร็จเลยค่ะ เรามีบริการ รับผลิตแบรนด์ชาแบบ OEM&ODM ที่ครบวงจรสุด ๆ
- OEM (Original Equipment Manufacturer) : คือการผลิตชาตามสูตรและแบรนด์ของลูกค้า เหมาะสำหรับคนที่มีสูตรชาเด็ดๆ อยู่แล้ว แต่อยากให้เราช่วยผลิตให้ได้มาตรฐาน
- ODM (Original Design Manufacturer) : คือการที่เราช่วยคิดค้น พัฒนาสูตรชาใหม่ๆ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าเลยค่ะ เหมาะสำหรับคนที่อยากมีแบรนด์ชา แต่ยังไม่มีสูตร หรืออยากได้สูตรชาที่ไม่เหมือนใคร
ทำไมต้องเลือกบริการผลิตของ Bluemocha?
- ร่วมพัฒนาสูตร : คุณสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาสูตรชาได้เต็มที่เลยค่ะ อยากได้ชาแบบไหน รสชาติยังไง บอกเราได้เลย ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมที่จะช่วยคุณสร้างสรรค์ชาที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใคร
- วัตถุดิบคุณภาพ : เราคัดสรรวัตถุดิบชาคุณภาพดี ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้ชาของคุณมีรสชาติและกลิ่นหอมที่โดดเด่น
- โดดเด่น แตกต่าง : ชาที่คุณผลิตกับเรา จะไม่ใช่แค่ชาธรรมดาๆ แต่จะเป็นชาที่มีเรื่องราว มีเอกลักษณ์ ที่จะทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของคุณได้
- ประหยัดต้นทุน : ไม่ต้องลงทุนสร้างโรงงานเอง ไม่ต้องซื้อเครื่องจักรแพงๆ
- มีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา : เรามีทีมงานที่มีประสบการณ์ พร้อมให้คำแนะนำในทุกขั้นตอน
- มั่นใจในคุณภาพ : โรงงานของเราได้มาตรฐาน GMP, HACCP, และ ISO
- รวดเร็ว ทันใจ : เราผลิตชาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามเวลาที่กำหนด
- ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ : ไม่ว่าตลาดจะเปลี่ยนไปแค่ไหน เราก็พร้อมปรับสูตร รสชาติ หรือบรรจุภัณฑ์ ให้ตรงกับความต้องการของคุณ
Bluemocha ไม่ได้แค่ผลิตชาในประเทศนะคะ เรายังส่งออกใบชาไปยังต่างประเทศ ด้วย โดยเฉพาะชาเขียวและชาไทย ที่เป็นที่นิยมมากๆ ในตลาดโลก เราเน้นเรื่องคุณภาพของใบชามากๆ เพื่อให้แบรนด์ชาของคุณเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ขั้นตอนการใช้บริการ OEM & ODM กับ Bluemocha ก็ง่ายมาก ๆ :
- แจ้งความต้องการ : บอกเราว่าคุณอยากได้ชาแบบไหน หรือถ้ามีตัวอย่างชาที่ชอบ ก็ส่งมาให้เราได้เลย
- พัฒนาสูตร : ทีมงานของเราจะพัฒนาสูตรชาให้ตรงกับความต้องการของคุณ แล้วส่งตัวอย่างให้คุณทดลองชิม
- ออกแบบบรรจุภัณฑ์ : คุณสามารถเลือกแบบบรรจุภัณฑ์ โลโก้ ฉลากสินค้า ได้ตามใจชอบ หรือจะให้ทีมงานของเราช่วยออกแบบให้ก็ได้
- ผลิตและจัดส่ง : เมื่อทุกอย่างลงตัว เราก็จะเริ่มผลิตชาให้คุณ และจัดส่งถึงมือคุณตามกำหนด
Bluemocha มีใบชาให้เลือกเยอะมากๆ กว่า 40 รายการ! ทั้งชาไทย ชาเขียว ชาไต้หวัน ชาอัญชัน ชามะลิ ผงครีมชีส ผงโกโก้ และอื่นๆ อีกเพียบ! ไม่ว่าคุณจะอยากได้ชาแบบไหน เรามีให้คุณเลือกแน่นอนค่ะ
นอกจากนี้ Bluemocha ยังมีบริการจัดส่งที่สะดวก รวดเร็ว และมีสิทธิพิเศษอีกมากมายสำหรับลูกค้า! ทั้งโปรโมชั่นวันเกิด, สะสมแต้ม, คอร์สสอนเปิดร้าน, สอนชงชา, สอนการตลาดออนไลน์, และยังมีระบบคิดเงิน Tobi POS ให้ใช้ฟรีอีกด้วย!
” ให้ Bluemocha ดูแลธุรกิจของคุณ เปรียบเสมือนเพื่อนคู่คิดของคุณ “
WRITTEN BY
Apichaya B.
เรื่องราวเทคนิคชาต้องยกให้เป็นอันดับต้น ๆ นักคิด นักให้คำปรึกษา แถมยังเป็นนักเขียนหน้าใสที่เอ็นดูน้องหมาทุกตัว แถมยังชื่นชอบความทันสมัยที่ทำให้ไม่มีตกเทรนด์