เปรียบเทียบ “ชาเขียวญี่ปุ่น 7 ชนิด” รู้จักความต่างก่อนเลือก!
คุณเคยยืนอยู่หน้าชั้นวางชาเขียวญี่ปุ่นมากมายในซูเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านค้าออนไลน์ แล้วรู้สึกสับสนว่าแต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไรไหม? มัทฉะ, เกียวคุโระ, เซนฉะ, ทามะเรียวกุฉะ, บันฉะ, โฮจิฉะ และคาบูชะ “ชาเขียวญี่ปุ่น 7 ชนิด” มีชื่อเรียกที่อาจฟังดูคล้ายกัน แต่แท้จริงแล้วชาเขียวญี่ปุ่นแต่ละชนิดนั้นมีความพิเศษเฉพาะตัว ทั้งในด้านรสชาติ กรรมวิธีผลิต และแม้แต่วิธีการปลูก ความหลากหลายนี้เองที่เป็นเสน่ห์ของชาเขียวญี่ปุ่น แต่ก็อาจทำให้ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำความรู้จักเกิดความลังเลได้
บทความนี้จึงพาคุณเปิดตำรา “ชาเขียวญี่ปุ่น 7 ชนิด” มาทำความรู้จักกับชาแต่ละประเภท เพื่อให้คุณเห็นภาพความแตกต่างของชาแต่ละชนิดได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกรรมวิธีปลูกที่ส่งผลต่อรสชาติและสีสัน ไปจนถึงระดับความเข้มข้นและปริมาณคาเฟอีน เมื่ออ่านบทความนี้จบ คุณจะสามารถเข้าใจความแตกต่างของชาเขียวญี่ปุ่นทั้ง 7 ชนิด และเลือกชาที่ตรงกับความชอบและโอกาสในการดื่มของคุณได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น เตรียมพร้อมเปิดประสบการณ์ชาเขียวญี่ปุ่นที่หลากหลายไปพร้อมกันเลย!
ทำความเข้าใจพื้นฐาน “ชาเขียวญี่ปุ่น”
ก่อนจะไปทำความรู้จักกับชาเขียวญี่ปุ่นแต่ละชนิด สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับชาเขียวญี่ปุ่นโดยรวมกันก่อน ชาเขียวญี่ปุ่นมีประวัติศาสตร์ยาวนานเคียงคู่กับวัฒนธรรมญี่ปุ่น กล่าวกันว่าชาถูกนำเข้ามาจากประเทศจีนโดยพระสงฆ์ในสมัยโบราณ และค่อย ๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันและพิธีกรรมต่าง ๆ ของชาวญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิธีชงชาแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า “ซะโด” (茶道) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพิถีพิถันและมีความสุขในการดื่มชา
ความพิเศษของชาเขียวญี่ปุ่นไม่ได้อยู่ที่เพียงแค่รสชาติที่กลมกล่อมและหลากหลายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกรรมวิธีการผลิตที่เป็นเอกลักษณ์ โดยทั่วไปแล้ว ชาเขียวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะผ่านกรรมวิธี “การนึ่งใบชา” เพื่อหยุดกระบวนการออกซิเดชันของเอนไซม์ในใบชา ซึ่งแตกต่างจากชาจีนหรือชาดำที่มักใช้วิธีการคั่วหรืออบแห้ง วิธีการนึ่งนี้เองที่ทำให้ชาเขียวญี่ปุ่นยังคงสีเขียวสดใส และมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติสดชื่น รสชาติเข้มข้น หรือแม้แต่รสชาติหวานละมุน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลมาจากความใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การปลูก การเก็บเกี่ยว ไปจนถึงกรรมวิธีที่ใช้ในการแปรรูปใบชา ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ “ชาเขียวญี่ปุ่น” แตกต่างและโดดเด่นจากชาเขียวในภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลก
เปรียบเทียบ “ชาเขียวญี่ปุ่น 7 ชนิด”
ในส่วนนี้ เราจะพาคุณไปสำรวจโลกของ “ชาเขียวญี่ปุ่นทั้ง 7 ชนิด” โดยจะเปรียบเทียบความแตกต่างในด้านต่างๆ ตั้งแต่กรรมวิธีปลูก ลักษณะใบ กรรมวิธีผลิต ไปจนถึงรสชาติ ระดับคาเฟอีน และความเหมาะสมในการดื่ม เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมและเลือกชาที่ใช่สำหรับคุณได้อย่างมั่นใจ
1. มัทฉะ (Matcha)
มัทฉะ ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชาแห่งชาเขียว” ด้วยกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ มัทฉะไม่ได้เป็นเพียงแค่ชา แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและพิธีกรรมชงชาแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ที่เรียกว่า “ซะโด” (茶道) อีกด้วย
- กรรมวิธีการปลูก : มัทฉะมีความพิเศษตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก โดยจะปลูกในโรงเรือนและกันแดด เป็นเวลาราว 20 วันก่อนการเก็บเกี่ยว การปลูกในที่ร่มนี้เองที่ทำให้ใบชามีสีเขียวเข้ม และมีปริมาณคลอโรฟิลล์และกรดอะมิโนสูง ซึ่งส่งผลต่อรสชาติ Umami ที่เป็นเอกลักษณ์ของมัทฉะ
- ลักษณะใบ : มัทฉะใช้ยอดอ่อน ๆ ของใบชาในการผลิต หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ใบชาจะถูกนำไปนึ่ง อบแห้ง และกำจัดก้านและเส้นใยออก เหลือไว้เพียงส่วนเนื้อใบที่เรียกว่า “เทนฉะ” (Tencha) จากนั้นเทนฉะจะถูกนำไปบดด้วยครกหินจนได้ผงชาสีเขียวละเอียดที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ “มัทฉะ”
- กรรมวิธีการผลิต : กรรมวิธีหลักในการผลิตมัทฉะ คือการทำให้แห้ง ใบชาเทนฉะที่ได้จากการนึ่งและอบแห้ง จะถูกนำไปบดอย่างช้าๆ ด้วยครกหิน เพื่อให้ได้ผงชาที่ละเอียดและคงคุณภาพ
- รสชาติและกลิ่น : มัทฉะมีรสชาติที่เข้มมาก มีความเข้มข้น ลุ่มลึก และมีรส Umami โดดเด่น นอกจากนี้ยังมีรสขมเล็กน้อยที่ปลายลิ้น แต่โดยรวมแล้วมัทฉะให้รสชาติที่กลมกล่อม ซับซ้อน และมีมิติ กลิ่นหอมของมัทฉะมีความเป็นเอกลักษณ์ มีกลิ่นคล้ายสาหร่ายทะเลและหญ้าอ่อนๆ
- ระดับคาเฟอีนและแทนนิน : ตามแผนผังระบุว่ามัทฉะมีความเข้มมาก ทั้งในด้านระดับคาเฟอีนและแทนนิน ดังนั้นมัทฉะจึงให้พลังงานและความตื่นตัวได้ดี แต่ก็อาจมีรสฝาดจากแทนนินได้เช่นกัน
- ความเหมาะสมในการดื่ม/โอกาสในการดื่ม : มัทฉะเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรสชาติชาเขียวที่เข้มข้น และต้องการสัมผัสประสบการณ์พิธีชงชาแบบญี่ปุ่น นิยมดื่มในรูปแบบชาเขียวร้อน ลาเต้มัทฉะ หรือนำไปใช้เป็นส่วนผสมในขนมและเครื่องดื่มต่างๆ
2. เกียวคุโระ (Gyokuro)
เกียวคุโระ ได้รับการยกย่องว่าเป็นชาเขียวที่มีคุณภาพสูงและล้ำค่าอีกชนิดหนึ่งของญี่ปุ่น ชื่อ “เกียวคุโระ” แปลว่า “น้ำค้างหยก” สื่อถึงสีสันที่สวยงามของน้ำชาและกรรมวิธีการปลูกที่พิถีพิถัน
- กรรมวิธีการปลูก : เช่นเดียวกับมัทฉะ เกียวคุโระก็มีการปลูกในโรงเรือนและกันแดด แต่ระยะเวลาในการคลุมผ้าบังแดดจะนานกว่า ประมาณ 3 สัปดาห์ก่อนการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ใบชาสะสมสาร Theanine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ให้รสชาติ Umami มากยิ่งขึ้น
- ลักษณะใบ : เกียวคุโระใช้ใบแก่ในการผลิต แต่เป็นใบแก่ที่ได้จากการปลูกภายใต้ร่มเงา ทำให้ใบมีความอ่อนนุ่มและมีสีเขียวเข้มเป็นพิเศษ
- กรรมวิธีการผลิต : กรรมวิธีผลิตเกียวคุโระจะเน้นการนวดใบชา หลังจากนึ่งใบชาแล้ว ใบชาจะถูกนำมานวดอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้เซลล์ใบชาแตก และปลดปล่อยรสชาติและกลิ่นหอมออกมาได้เต็มที่
- รสชาติและกลิ่น : เกียวคุโระโดดเด่นด้วยรสชาติมาก ในด้าน Umami มีรสชาติที่เข้มข้น กลมกล่อม และซับซ้อน มีรสหวานตามธรรมชาติ และแทบไม่มีรสขม กลิ่นหอมของเกียวคุโระมีความเป็นเอกลักษณ์ มีกลิ่นคล้ายสาหร่ายทะเล และกลิ่นหอมหวานคล้ายน้ำซุป
- ระดับคาเฟอีนและแทนนิน : ตามแผนผังระบุว่าเกียวคุโระมีระดับคาเฟอีนและแทนนินมาก แต่เนื่องจากมีรส Umami โดดเด่น รสชาติโดยรวมจึงยังคงกลมกล่อมและดื่มง่าย
- ความเหมาะสมในการดื่ม/โอกาสในการดื่ม : เกียวคุโระเหมาะสำหรับการดื่มด่ำรสชาติ Umami ที่เป็นเอกลักษณ์ นิยมดื่มในรูปแบบชาเขียวร้อน เพื่อสัมผัสรสชาติและกลิ่นหอมอย่างเต็มที่ เหมาะสำหรับโอกาสพิเศษ หรือช่วงเวลาที่ต้องการผ่อนคลายอย่างแท้จริง
3. คาบูเซะฉะ (Kabusecha)
คาบูเซะฉะ เป็นชาเขียวที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเซนฉะและเกียวคุโระ มีกรรมวิธีการปลูกแบบ “คาบูเซะ” (Kabuse) ซึ่งเป็นการคลุมผ้าบังแดดในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก่อนการเก็บเกี่ยว
- กรรมวิธีการปลูก : คาบูเซะฉะมีการ ปลูกในโรงเรือน กันแดด แต่ระยะเวลาในการคลุมผ้าบังแดดจะสั้นกว่าเกียวคุโระ โดยจะคลุมผ้าประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนการเก็บเกี่ยว ทำให้ได้รับแสงแดดบ้างเล็กน้อย
- ลักษณะใบ : คาบูเซะฉะใช้ใบอ่อนในการผลิต แต่เป็นใบอ่อนที่ได้รับแสงแดดในปริมาณที่พอเหมาะ ทำให้ใบมีสีเขียวสดใส และมีรสชาติที่สมดุล
- กรรมวิธีการผลิต : กรรมวิธีผลิตคาบูเซะฉะจะเน้นการนวด เช่นเดียวกับเกียวคุโระ แต่วิธีการนวดอาจแตกต่างกันไป เพื่อให้ได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์
- รสชาติและกลิ่น : คาบูเซะฉะมีรสชาติอยู่ใน ระดับกลาง ๆ มีความกลมกล่อม นุ่มนวล และสมดุล ระหว่างรส Umami รสหวาน และรสขม ไม่เข้มข้นเท่ามัทฉะหรือเกียวคุโระ แต่ก็ไม่จืดชืดเหมือนเซนฉะบางชนิด กลิ่นหอมของคาบูเซะฉะมีความสดชื่น และมีกลิ่นคล้ายสาหร่ายทะเลอ่อนๆ
- ระดับคาเฟอีนและแทนนิน : ตามแผนผังระบุว่าคาบูเซะฉะมีระดับคาเฟอีนและแทนนินอยู่ใน ระดับกลาง ๆ ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการชาเขียวที่ดื่มได้ง่าย และไม่แรงจนเกินไป
- ความเหมาะสมในการดื่ม/โอกาสในการดื่ม : คาบูเซะฉะเหมาะสำหรับการดื่มในชีวิตประจำวัน สามารถดื่มได้ทั้งแบบร้อนและเย็น เข้ากันได้ดีกับอาหารหลากหลายชนิด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการชาเขียวที่ดื่มง่าย รสชาติกลมกล่อม และไม่หนักจนเกินไป
4 เซนฉะ (Sencha)
เซนฉะ ถือเป็นชาเขียวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นชาเขียวที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดี ด้วยรสชาติที่ดื่มง่าย สดชื่น และหลากหลายรูปแบบ ทำให้เซนฉะเป็นชาเขียวที่สามารถดื่มได้ทุกวัน
- กรรมวิธีการปลูก : เซนฉะ ปลูกกลางแจ้ง เพื่อให้ได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่ แสงแดดนี้เองที่กระตุ้นให้เกิดสาร Catechin ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และให้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของเซนฉะ
- ลักษณะใบ : เซนฉะใช้ยอดอ่อน ๆ ของใบชาในการผลิต ใบชาเซนฉะจะมีลักษณะเรียวยาว แบน และมีสีเขียวสดใส
- กรรมวิธีการผลิต : กรรมวิธีหลักในการผลิตเซนฉะคือ การนึ่งใบชา หลังจากนึ่งแล้ว ใบชาจะถูกนำมา นวด และทำให้แห้ง กระบวนการนวดนี้จะช่วยให้ใบชาคงรูปทรงเรียวยาวสวยงาม และปลดปล่อยรสชาติและกลิ่นหอมออกมาได้ดีขึ้น
- รสชาติและกลิ่น : เซนฉะมีรสชาติอยู่ใน ระดับกลาง ๆ มีความสมดุล ระหว่างรสชาติ สดชื่น หวานอมขม และมี ความฝาด เล็กน้อย รสชาติของเซนฉะจะแตกต่างกันไปตามฤดูกาลเก็บเกี่ยวและแหล่งผลิต แต่โดยรวมแล้วเซนฉะให้รสชาติที่ ดื่มง่าย สดชื่น และกระปรี้กระเปร่า กลิ่นหอมของเซนฉะมีความสดชื่น คล้ายหญ้าอ่อนๆ และดอกไม้
- ระดับคาเฟอีนและแทนนิน : ตามแผนผังระบุว่าเซนฉะมีระดับคาเฟอีนและแทนนินอยู่ในระดับกลาง ๆ ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการชาเขียวที่ดื่มได้ตลอดวัน
- ความเหมาะสมในการดื่ม/โอกาสในการดื่ม : เซนฉะเป็นชาเขียวที่ดื่มได้ทุกวัน และทุกโอกาส ไม่ว่าจะดื่มในมื้ออาหาร ดื่มระหว่างวัน หรือดื่มเพื่อดับกระหาย สามารถดื่มได้ทั้งแบบร้อนและเย็น และยังเข้ากันได้ดีกับอาหารหลากหลายชนิด
5. ทามาเรียวกุจะ (Tamaryokucha)
ทามาเรียวกุจะ เป็นชาเขียวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยรูปทรงใบชาที่โค้งงอเป็นรูปทรงกลม และกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างจากชาเขียวชนิดอื่นๆ
กรรมวิธีการปลูก : ทามาเรียวกุจะปลูกกลางแจ้ง เช่นเดียวกับเซนฉะ เพื่อให้ได้รับแสงแดดเต็มที่ แต่บางครั้งอาจมีการคลุมผ้าบังแดดในช่วงสั้นๆ ก่อนการเก็บเกี่ยวเล็กน้อย เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมยิ่งขึ้น
ลักษณะใบ : ทามาเรียวกุจะใช้ยอดอ่อน ๆ ของใบชาในการผลิต แต่ใบชาทามาเรียวกุจะจะไม่ผ่านกระบวนการนวดให้เรียวยาวเหมือนเซนฉะ แต่จะปล่อยให้ใบชา โค้งงอเป็นรูปทรงกลม ตามธรรมชาติ ลักษณะใบที่โค้งงอนี้เองที่เป็นที่มาของชื่อ “ทามาเรียวกุจะ” ซึ่งแปลว่า “ชาเขียวลูกบอล”
- กรรมวิธีการผลิต : กรรมวิธีหลักในการผลิตทามาเรียวกุจะคือ การนึ่งใบชา หลังจากนึ่งแล้ว ใบชาจะถูกนำไปทำให้แห้ง โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการนวดแบบเซนฉะ ทำให้ใบชายังคงรูปทรงโค้งงอตามธรรมชาติ
รสชาติและกลิ่น : ทามาเรียวกุจะมีรสชาติ ระดับกลาง ๆ แต่มีความเข้มข้น กว่าเซนฉะ มีรสชาติสดชื่น หวานอมขม และมีความฝาด เล็กน้อย คล้ายกับเซนฉะ แต่ทามาเรียวกุจะมีรสชาติที่ซับซ้อน กว่าเล็กน้อย และมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ มีกลิ่นคล้ายซิตรัสและดอกไม้
ระดับคาเฟอีนและแทนนิน : ตามแผนผังระบุว่าทามาเรียวกุจะมีระดับคาเฟอีนและแทนนินอยู่ใน ระดับกลาง ๆ ใกล้เคียงกับเซนฉะ - ความเหมาะสมในการดื่ม/โอกาสในการดื่ม : ทามาเรียวกุจะเหมาะสำหรับการดื่มในชีวิตประจำวัน สามารถดื่มได้ทั้งแบบร้อนและเย็น และเข้ากันได้ดีกับอาหารหลากหลายชนิด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการชาเขียวที่รสชาติเข้มข้นกว่าเซนฉะ แต่ยังคงความสดชื่นและดื่มง่าย
6. บันฉะ (Bancha)
บันฉะ (Bancha) เป็นชาเขียวที่ผลิตจากใบแก่ ของต้นชา ทำให้บันฉะมีลักษณะ รสชาติ และระดับคาเฟอีนที่แตกต่างจากชาเขียวที่ใช้ยอดอ่อน บันฉะเป็นชาเขียวที่ ดื่มง่าย สบาย ๆ และราคาไม่แพง จึงเป็นที่นิยมดื่มกันในชีวิตประจำวันของชาวญี่ปุ่น
- กรรมวิธีการปลูก : บันฉะปลูกกลางแจ้ง เช่นเดียวกับเซนฉะและทามาเรียวกุจะ เพื่อให้ได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่
- ลักษณะใบ : บันฉะใช้ใบและก้าน ของต้นชาในการผลิต โดยส่วนใหญ่จะใช้ใบที่แก่กว่า และมีขนาดใหญ่ กว่าใบชาที่ใช้ผลิตเซนฉะหรือมัทฉะ บางครั้งอาจมีก้านชาปะปนมาด้วย
- กรรมวิธีการผลิต : กรรมวิธีหลักในการผลิตบันฉะ คือการนึ่งใบชา หลังจากนึ่งแล้ว ใบชาจะถูกนำไปคั่ว และทำให้แห้ง การคั่วนี้เองที่ทำให้บันฉะมีกลิ่นหอมคั่วที่เป็นเอกลักษณ์
- รสชาติและกลิ่น : บันฉะมีรสชาติน้อย กว่าชาเขียวชนิดอื่นๆ มีความ อ่อนโยน ดื่มง่าย และไม่ขม มีรสชาติสดชื่น เล็กน้อย และมีกลิ่นหอมคั่ว ที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้บันฉะมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แตกต่างจากชาเขียวอื่นๆ
- ระดับคาเฟอีนและแทนนิน: ตามแผนผังระบุว่าบันฉะมีระดับคาเฟอีนและแทนนินน้อย จึงเป็นชาเขียวที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงคาเฟอีน หรือต้องการดื่มชาเขียวในช่วงเย็น
- ความเหมาะสมในการดื่ม/โอกาสในการดื่ม : บันฉะเหมาะสำหรับการดื่มในชีวิตประจำวัน หลังอาหาร หรือดื่มเพื่อดับกระหาย สามารถดื่มได้ทั้งแบบร้อนและเย็น และเข้ากันได้ดีกับอาหารหลากหลายชนิด เนื่องจากมีราคาไม่แพง จึงเป็นชาเขียวที่นิยมดื่มกันในครอบครัวชาวญี่ปุ่น
7. โฮจิฉะ (Hojicha)
โฮจิฉะ(Hojicha) เป็นชาเขียวที่ผ่านกรรมวิธีการคั่ว ทำให้โฮจิฉะมีสีน้ำตาลแดง และมีกลิ่นหอมคั่วที่เป็นเอกลักษณ์ โฮจิฉะเป็นชาเขียวที่ดื่มง่าย สดชื่น และมีคาเฟอีนต่ำ จึงเป็นที่นิยมดื่มกันอย่างแพร่หลาย
- กรรมวิธีการผลิต : โฮจิฉะมีกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างจากชาเขียวชนิดอื่น ๆ โดยจะนำใบชา ส่วนใหญ่มักใช้บันฉะ หรือเซนฉะระดับล่าง ไปคั่วด้วยความร้อนสูง เพื่อให้ใบชาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง และเกิดกลิ่นหอมคั่วที่เป็นเอกลักษณ์
- ลักษณะใบ : โฮจิฉะผลิตจากใบและก้าน ของต้นชา เช่นเดียวกับบันฉะ แต่ใบชาโฮจิฉะจะมีสีน้ำตาลแดง เนื่องจากผ่านการคั่ว และบดเป็นผงละเอียด
- กรรมวิธีการผลิต : กรรมวิธีหลักในการผลิตโฮจิฉะคือ การนำใบชาเขียวที่ผ่านการอบ มาคั่วใบชา การคั่วจะช่วยลดปริมาณคาเฟอีนในชา จนใบชาเกิดการเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาล แล้วจึงนำมาโม่จนเป็นผงละเอียด จะมีเนือสัมผัสที่คล้ายกับผงมัทฉะ และทำให้เกิดกลิ่นหอมคั่วที่เป็นเอกลักษณ์
- รสชาติและกลิ่น : โฮจิฉะมีรสชาติน้อยกว่าชาเขียวชนิดอื่น ๆ มีความอ่อนโยน ดื่มง่าย ไม่ขม และสดชื่น มีรสชาติหวานเล็กน้อย และมีกลิ่นหอมคั่ว ที่โดดเด่น คล้ายคาราเมลหรือถั่ว ทำให้โฮจิฉะมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ และแตกต่างจากชาเขียวอื่น ๆ อย่างชัดเจน
- ระดับคาเฟอีนและแทนนิน : โฮจิฉะมีระดับคาเฟอีนและแทนนินน้อย เนื่องจากผ่านกรรมวิธีการคั่ว ทำให้โฮจิฉะเป็นชาเขียวที่มีคาเฟอีนต่ำที่สุดในบรรดาชาเขียวญี่ปุ่น 7 ชนิดนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงคาเฟอีน เด็ก และผู้สูงอายุ
- ความเหมาะสมในการดื่ม/โอกาสในการดื่ม : โฮจิฉะเหมาะสำหรับการดื่มหลังอาหาร ก่อนนอน หรือดื่มเพื่อดับกระหาย สามารถดื่มได้ทั้งแบบร้อนและเย็น และเข้ากันได้ดีกับอาหารหลากหลายชนิด โดยเฉพาะอาหารที่มีรสชาติเข้มข้น เนื่องจากโฮจิฉะช่วยล้างปากและดับเลี่ยนได้ดี
บทความที่น่าสนใจ
ไม่ว่าคุณจะชอบรสชาติแบบไหน “ชาเขียวญี่ปุ่นทั้ง 7 ชนิด” ก็มีความพิเศษและเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป สิ่งสำคัญที่สุด คือการทดลองดื่มชาหลากหลายชนิด เพื่อค้นหารสชาติที่ถูกใจและใช่สำหรับคุณมากที่สุด! หวังว่าบทความนี้จะช่วยเปิดโลกทัศน์ของคุณให้กว้างขึ้น และทำให้คุณเข้าใจถึงความหลากหลายและเสน่ห์อันน่าหลงใหลของชาเขียวญี่ปุ่นได้มากยิ่งขึ้น จากที่ได้เรียนรู้กันไป จะเห็นได้ว่าชาเขียวแต่ละชนิดนั้นมีความโดดเด่นและเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น “มัทฉะ” ราชาแห่งชาเขียวที่มอบรสชาติเข้มข้นลุ่มลึก “เกียวคุโระ” ชาคุณภาพที่โดดเด่นด้วยรสชาติ Umami “เซนฉะ” ชายอดนิยมที่ดื่มง่ายและสดชื่น หรือ “โฮจิฉะ” ชาเขียวคั่วหอมที่มีคาเฟอีนต่ำ ชาแต่ละชนิดล้วนมีเรื่องราวและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ รอให้คุณได้ไปค้นพบและดื่มด่ำ
ประโยชน์สำคัญที่คุณได้รับจากบทความนี้ คือความเข้าใจใน ความแตกต่างของชาเขียวญี่ปุ่นทั้ง 7 ชนิด ทำให้คุณสามารถเลือกชาที่ตอบโจทย์ความชอบและโอกาสในการดื่มของคุณได้ตรงใจมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญที่สุด คือการเปิดประสบการณ์ การดื่มชาเขียวญี่ปุ่นที่หลากหลาย ไม่จำกัดอยู่เพียงแค่ชาเขียวชนิดใดชนิดหนึ่ง ถึงเวลาแล้วที่คุณจะลองเปิดใจ และทดลองดื่ม ชาเขียวญี่ปุ่นชนิดต่าง ๆ เพื่อสัมผัสรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละชนิดด้วยตัวคุณเอง และหากคุณกำลังมองหาชาเขียวคุณภาพดี เพื่อเริ่มต้นการผจญภัยในโลกของชาเขียวญี่ปุ่น Bluemocha ขอแนะนำ :
ชาเขียวผงมัทฉะ (Matcha Powder)
ชาเขียวผงโฮจิฉะ (Hojicha Powder)
ชาเขียวผงอูจิมัทฉะ (Uji Matcha Powder)
สนใจอยากได้ราคาส่ง เริ่มต้น 6 กิโลกรัมขึ้นไป แอดไลน์ @bluemochacoffee
Bluemocha ไม่ได้เป็นเพียงผู้จำหน่ายชาเท่านั้น แต่เราคือโรงงานผลิตชา Bluemocha เชียงใหม่ ที่พร้อมให้บริการรับผลิตชา OEM&ODM สำหรับแบรนด์ของคุณ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในวงการชา พร้อมเป็นเพื่อนคู่คิดและให้คำปรึกษาด้านชาแก่คุณในทุกขั้นตอน
ทำไมต้องเลือก Bluemocha ?
- รับพัฒนาสูตรใบชา และรสชาติชา ให้ตรงตามความต้องการ
- ฟรีค่าออกแบบ Logo แบรนด์ และ ฉลากสำหรับติดถุงชา
- ฟรีค่าจัดส่งทั่วประเทศ เมื่อสั่งใบชาตั้งแต่ 5,000kg ขึ้นไป
- ฟรีค่าจดยื่นขอ อย. เมื่อสั่งใบชา 100kg ขึ้นไป
- บริการยื่นขอรับรอง ฮาลาล (HALAL) เมื่อสั่งใบชา 500kg ขึ้นไป
- บริการรับบรรจุชา ขนาด 250 กรัม, 500 กรัม, 1 กิโลกรัม
- ฟรี ตัวอย่างชาสำหรับทดสอบ
- ฟรี ยื่นขอใบ Certificate สำหรับลูกค้าที่ต้องการส่งออกไปต่างประเทศ
ขั้นตอนการผลิตชา OEM & ODM กับ Bluemocha :
- ปรึกษา : พูดคุยกับทีมงานของเรา เพื่อแจ้งความต้องการของคุณ
- เลือก/พัฒนาสูตรชา :
- OEM : เลือกผลิตภัณฑ์ชาจากรายการสินค้าที่มีอยู่ของ Bluemocha
- ODM : ส่งตัวอย่างชาที่ต้องการให้เรา เพื่อพัฒนาสูตรให้ตรงกับความต้องการของคุณ
- ทดสอบตัวอย่าง :
- OEM : ทางโรงงานจะจัดส่งตัวอย่างชาให้คุณทดสอบ
- ODM : เมื่อได้สูตรชาที่ตรงใจแล้ว คุณสามารถแจ้งความต้องการในการออกแบบบรรจุภัณฑ์
- ออกแบบบรรจุภัณฑ์ : ออกแบบโลโก้ ฉลาก และเลือกบรรจุภัณฑ์ตามที่คุณต้องการ หรือส่งบรรจุภัณฑ์ของคุณมาให้เรา
- สรุปค่าใช้จ่ายและชำระเงิน : ทางโรงงานจะแจ้งค่าใช้จ่ายทั้งหมด พร้อมรายละเอียด และส่งใบสั่งซื้อสินค้า คุณทำการชำระเงินก่อนเริ่มผลิตสินค้า
- ผลิตและจัดส่ง : โรงงานทำการผลิตสินค้า และจัดส่งตามกำหนด
Bluemocha มีใบชาให้เลือกเยอะมากกว่า 50 รายการเลยนะ! ชาไทย ชาเขียว และชาไต้หวัน คือมีหมด! ใครอยากได้ชาแบบไหน ส่งของไว ส่งของทุกวัน! Bluemocha ส่งของทุกวัน จันทร์-เสาร์ มีขนส่งให้เลือกเพียบ ไปรษณีย์ Kerry DHL J&T คือสะดวกสุด ๆ แถมยังรับทำแบรนด์ชาส่งออก ไปเมืองนอกด้วยนะ! ใครอยากโกอินเตอร์ ปรึกษา Bluemocha ได้เลย! พิเศษสุด ๆ Bluemocha มีสิทธิพิเศษให้ลูกค้าเยอะแยะเลย โปรวันเกิดส่งฟรี สะสมแต้ม แลกของ สอนเปิดร้าน สอนชงชา สอนขายออนไลน์ คือเค้าดูแลลูกค้าดีมาก! แถมยังมี ระบบคิดเงิน Tobi POS ให้ใช้ฟรีอีกด้วยนะ!
“ถ้าบทความนี้มีประโยชน์ อย่าลืมแชร์ให้เพื่อน ๆ ที่กำลังมองหาชาเขียวญี่ปุ่นอร่อย ๆ ได้อ่านกัน เพื่อเปิดประสบการณ์ชาเขียวญี่ปุ่นที่หลากหลายไปด้วยกัน!”
Bluemocha คือ “เพื่อนคู่คิด ผลิตใบชา ให้คำปรึกษาครบวงจร”
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- World Green Tea Association : https://www.o-cha.net/english/association/index.html
- ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ : https://sciplanet.org/content/9101/
- Wongnai : https://www.wongnai.com/food-tips/green-tea-secrets
WRITTEN BY
Anchalee J.
ยุญา สาวน้อยผู้หลงใหลงานขายไม่แพ้กับงานเขียน โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับชา รวมถึงเทคนิคต่าง ๆ ดังนั้น ทุกเรื่องราวที่สื่อสารออกมา จะมอบประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ให้กับผู้อ่านอย่างแน่นอน